
Sculptra
การฉีด Sculptra กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเป็นทางออกสำหรับปัญหาผิวที่เกิดจากคอลลาเจนลดลงตามวัย โดยพบว่าเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนลดลงถึง 1% ต่อปี ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ เกิดริ้วรอยชัดเจน ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย
แต่ด้วยคุณสมบัติพิเศษของ Sculptra ที่เด่นในเรื่องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลลัพธ์อยู่ได้นาน จึงทำให้หลายคนสนใจอยากรู้ว่า Sculptra คืออะไร ? ราคาเท่าไหร่ ? เหมาะกับใคร ? ช่วยอะไร ? และต้องฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?
วันนี้ Goodlybeauty ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Sculptra มาไว้ในบทความนี้แล้วครับ
คลิกอ่านหัวข้อ Sculptra
ทำความรู้จัก Sculptra คืออะไร ?

Sculptra คือ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตัวแรกของโลก (Collagen Biostimulator) ที่พัฒนาโดยบริษัท Galderma Laboratories, L.P. มีส่วนประกอบหลักคือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์จากพืช สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และไม่ตกค้างในร่างกาย
คุณสมบัติเด่นของ Sculptra คือ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นเอง ทดแทนคอลลาเจนที่ลดลงตามวัย ทำให้ผิวแน่นขึ้น อิ่มฟู กระชับ และยืดหยุ่นขึ้น พร้อมฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
อีกทั้ง Sculptra ยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) ตั้งแต่ปี 1999 และมีงานวิจัยรองรับมากกว่า 50 ฉบับ รวมถึงผ่าน อย.ไทย เรียบร้อยแล้ว ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
กระบวนการทำงานของ Sculptra

หลังฉีด Sculptra เข้าสู่ผิวชั้นลึก (Subcutaneous) ตัวยาจะกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ช่วยเติมเต็มร่องลึกและยกกระชับผิว โดย Sculptra 1 ขวด สามารถฉีดได้ถึง 10 CC ทำให้ครอบคลุมจุดสำคัญบนใบหน้าได้อย่างทั่วถึง
หลังจากนั้น Sculptra จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเองตามธรรมชาติ โดยดึง เซลล์เม็ดเลือดขาวแมคโครฟาจ (Macrophage) มากระตุ้น เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิต คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) ซึ่งเป็นคอลลาเจนหลักของผิว เพิ่มขึ้นถึง 66.5% ตามงานวิจัย ทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดแน่นขึ้น แข็งแรงขึ้น และดูอิ่มฟูขึ้น
แล้วเมื่อเวลาผ่านไป Sculptra จะสลายไปเองตามธรรมชาติ เหลือไว้เพียง คอลลาเจนที่ร่างกายสร้างขึ้น ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี
ฉีด Sculptra ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวจะค่อย ๆ ลดลง ทำให้ผิวขาดความแน่นกระชับ เกิดริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และดูไม่สดใส Sculptra เป็นทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเอง ทำให้ผิวแข็งแรงและอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ประโยชน์ของ Sculptra
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เติมเต็มคอลลาเจนที่สูญเสียไป ให้ผิวแน่นขึ้น
- ช่วยเติมเต็ม ยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย ให้ผิวดูเต่งตึงขึ้น
- ช่วยฟื้นฟู โครงสร้างชั้นลึกใต้ผิว ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและเป็นธรรมชาติ
- ช่วยให้ผิวแข็งแรง แน่นกระชับ อิ่มฟู
- ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
- ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว ให้ผิวดูสุขภาพดี เปล่งปลั่งมากขึ้น
การฉีด Sculptra เหมาะกับใครบ้าง ?

การฉีด Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวจากภายใน และให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาดังนี้
- อายุ 25 ปีขึ้นไป ต้องการคงความอ่อนเยาว์ – เพราะการสร้างคอลลาเจนในร่างกายเริ่มลดลงตั้งแต่วัยนี้ และจะยิ่งลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุ
- ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ – ผิวดูไม่เต่งตึงเหมือนเดิม มีร่องลึกชัดขึ้น
- ผิวขาดความยืดหยุ่น ผิวย้วย ไม่เฟิร์ม – ผิวดูบางลง ไม่แน่นฟูเหมือนก่อน
- มีริ้วรอยลึก ผิวดูแก่กว่าวัย – โดยเฉพาะบริเวณร่องแก้ม มุมปาก หรือใต้ตา
- ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน ไม่ต้องฉีดบ่อย – เพราะ Sculptra คงผลลัพธ์อยู่ได้นานหลายปี
เปรียบเทียบการฉีด Sculptra กับหัตถการฉีดผิวอื่น ๆ
Sculptra เป็นการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนที่แตกต่างจากหัตถการฉีดผิวอื่น ๆ ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเด่นและหลักการทำงานที่แตกต่างกัน การเลือกใช้หัตถการที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและผลลัพธ์ที่ต้องการ มาดูกันว่าข้อแตกต่างของการฉีด Sculptra กับหัตถการฉีดผิวอื่น ๆ เป็นอย่างไรบ้าง
ฉีด Sculptra vs ฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid Filler)

ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เติมเต็มจุดที่มีการยุบตัว เช่น ใต้ตา ขมับ แก้มตอบ หรือคาง
จุดเด่นของฟิลเลอร์คือ เห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีด และสามารถอยู่ได้นานตั้งแต่ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์
ในขณะที่ Sculptra ใช้สาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งทำหน้าที่ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเอง แทนที่จะเติมเต็มแบบทันที ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดขึ้นหลังจาก 3 สัปดาห์ และเห็นผลชัดเจนในเดือนที่ 3 โดยสามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี
ฉีด Sculptra vs โบท็อก (Botox)

โบท็อกเป็นสาร Botulinum Toxin ที่ทำงานโดยการลดการทำงานของกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยให้ริ้วรอยที่เกิดจากการขยับของใบหน้าดูตื้นขึ้น เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยตีนกา และรอยขมวดคิ้ว ผลลัพธ์ของโบท็อกจะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วัน และอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน
ในขณะที่ Sculptra ไม่ได้ลดการทำงานของกล้ามเนื้อโดยตรง แต่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น ลดริ้วรอยร่องลึก และฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระยะยาว
ฉีด Sculptra vs เมโสหน้าใส (Mesotherapy)

เมโสหน้าใส เป็นการฉีดวิตามินและสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่ผิวโดยตรง เพื่อช่วยบำรุงผิว ลดสิว ลดฝ้า กระ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า เมโสหน้าใสมีหลายสูตรให้เลือก เช่น มาเด้คอลลาเจน, Filorga, REVS, Neo-Glutanex Glow, Alpha arbutin และ Tensonez แต่ละสูตรจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไป ผลลัพธ์ของเมโสหน้าใสจะอยู่ได้เพียง 2-3 เดือน และต้องฉีดซ้ำทุก 2-3 สัปดาห์
ส่วน Sculptra เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวอิ่มฟู ยกกระชับ และลดริ้วรอยได้ในระยะยาว ซึ่งสามารถทำควบคู่กันได้กับเมโสหน้าใสตามคำแนะนำของแพทย์ครับ
ฉีด Sculptra vs Exosome

Exosome คือ สารชีวโมเลกุลขนาดเล็กที่อุดมไปด้วย Growth Factor, Peptides, Amino Acids และ Hyaluronic Acid และโปรตีนต่าง ๆ หลังทำจะช่วยให้ผิวสามารถดูดซึมและให้เซลล์นำไปฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว เน้นการซ่อมแซมผิวชั้นบน ช่วยลดรอยดำ ฝ้า กระ และลดการอักเสบของผิว
ในขณะที่ Sculptra ทำงานโดยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเอง เน้นการบำรุงในผิวชั้นลึก ทำให้ผิวแน่นขึ้น ลดความหย่อนคล้อย และช่วยให้ใบหน้าดูยกกระชับ และให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
ฉีด Sculptra vs Rejuran

Rejuran ใช้สาร Polynucleotide (PN) ซึ่งเป็นสารสกัดจาก DNA ปลาแซลมอนที่มีลำดับเบสใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ เน้นในการช่วยกระตุ้นการเจริญและการแบ่งตัวของเซลล์ Fibroblast ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น สร้างเซลล์ผิวใหม่ ซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลาย ลดรูขุมขนกว้าง ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และช่วยฟื้นฟูรอยหลุมสิวได้ดี
ส่วน Sculptra ใช้สาร PLLA ที่สกัดมาจากพืช มีโอกาสแพ้น้อย ไม่ตกค้างในร่างกาย เน้นในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวอิ่มฟู ลดริ้วรอยร่องลึก ยกกระชับผิวโดยรวม อยู่ได้นาน สามารถทำควบคู่กันได้เพื่อเสริมผลลัพธ์ตามการพิจารณาของแพทย์
ฉีด Sculptra vs Gouri

Gouri และ Sculptra จัดเป็น Collagen Biostimulator เหมือนกัน แต่มีส่วนประกอบแตกต่างกัน คือ Gouri ใช้สาร PCL (Polycaprolactone) ที่อยู่ในรูปของสารละลาย ส่วน Sculptra ใช้สาร PLLA ที่มาในรูปแบบผง ต้องละลายก่อนฉีด ทั้งสองตัวช่วยให้ผิวทั่วใบหน้าสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น และให้ผิวดูอิ่มฟูขึ้นได้เช่นเดียวกัน แต่ Sculptra อยู่ได้นานกว่า (2 ปี) ในขณะที่ Gouri อยู่ได้ประมาณ 1 ปี การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับความต้องการและคำแนะนำของแพทย์
Sculptra ราคาเท่าไหร่ ?
Sculptra มีราคามาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 30,000 บาทต่อขวด หลายคนอาจจะคิดว่าราคาสูงแต่ในบางคลินิกก็มีของแถมเป็นหัตถการอื่น ๆ เพิ่มเติม ยิ่งเสริมความคุ้มค่า นอกจากนี้ ราคา Sculptra อาจแตกต่างกันไปตาม แพทย์ผู้ฉีด โปรโมชัน และแพ็กเกจของแต่ละคลินิกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากเจอ Sculptra ราคาถูกผิดปกติ เช่น ขวดละไม่กี่พันบาท ควรตรวจสอบให้ดี เพราะอาจเป็นของปลอมหรือสินค้านำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเสี่ยงต่อผลข้างเคียงและอาจเป็นอันตราย
วิธีดู Sculptra ของแท้

- Sculptra ของแท้ ต้องมีสติกเกอร์โมโนแกรมบนกล่อง ไม่ถูกเปิดออก อยู่ในสภาพสมบูรณ์
- มีลายนูนรูปตัว S บนหน้ากล่อง
- มีเอกสารกำกับภาษาไทยและเลขทะเบียน อย. ติดอยู่ข้างกล่อง
- มี QR code สำหรับสแกนตรวจสอบของแท้ผ่านแอปพลิเคชัน eZTracker ได้
- ตัวยา Sculptra ก่อนผสมจะมีลักษณะเป็นผง (PLLA powder) ไม่มีของเหลว และเป็นสุญญากาศ
ฉีด Sculptra อันตรายไหม ?
Sculptra ไม่อันตราย และถูกใช้ในการกระตุ้นคอลลาเจนมาตั้งแต่ปี 1999 ได้รับการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทย ว่ามีความปลอดภัย และมีงานวิจัยรองรับถึงประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวครับ
อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยในการฉีด Sculptra ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญอื่น ๆ คือ ต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ใช้ผลิตภัณฑ์ Sculptra ของแท้ที่นำเข้าจากบริษัทกัลเดอร์มา (ประเทศไทย) และต้องทำในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้นครับ
ผลข้างเคียงจากการฉีด Sculptra

หลังการฉีด Sculptra อาจพบผลข้างเคียงเล็กน้อยที่สามารถหายได้เองครับ เช่น อาการบวม ปวด และมี
รอยแดงบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
นอกจากนี้ บางรายอาจคลำพบก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิวหนังในช่วงแรก แต่ไม่ต้องกังวล เพราะสามารถช่วยให้ดีขึ้นได้ด้วยการนวดบริเวณที่ฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ แล้วก้อนเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปเองครับ
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Sculptra

- นวดหน้าตามหลัก Triple 5 คือ นวดวันละ 5 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน เพื่อให้ยากระจายตัวทั่วใบหน้าได้ดี
- ใน 24 ชั่วโมงแรก ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า การอบซาวน่า อบไอน้ำ และการทาครีมบริเวณรอยเข็ม
- ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดและแสงยูวีจนกว่าอาการบวมแดงจะหายเป็นปกติ
- หากต้องการทำทรีตเมนต์อื่นบนใบหน้า ควรเว้นระยะประมาณ 2-4 สัปดาห์
ต้องฉีด Sculptra กี่ครั้งจึงจะเห็นผล ?
Sculptra ควรฉีดประมาณ 3 ครั้งจึงจะเห็นผลครับ โดยฉีดห่างกันครั้งละ 1 เดือน สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่มาก แนะนำฉีดครั้งละ 1 ขวด แต่ถ้าหากมีปัญหาผิวมาก หรือ อายุ 30 ปีขึ้นไป แนะนำให้ ฉีดครั้งละ 2 ขวด เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นานขึ้นครับ
ผลลัพธ์ฉีด Sculptra อยู่ได้นานไหม ?
ผลลัพธ์ของการฉีด Sculptra จะอยู่ได้นานถึง 2 ปี หากได้ฉีด 2-3 ครั้งในช่วงแรกเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้เต็มที่ แต่ถ้าฉีดเพียงครั้งเดียวโดยไม่ฉีดซ้ำ ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ประมาณ 2-4 เดือนครับ
ข้อควรระวังเมื่อเลือกคลินิกฉีด Sculptra

คลินิกฉีด Sculptra สำคัญมาก เพราะเป็นการฉีดตัวยาเข้าใต้ผิวหนังที่ต้องใช้ความชำนาญสูง ดังนั้น ควรรู้จักเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อความคุ้มค่าและความปลอดภัย ดังนี้ครับ
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน : ต้องผ่านการรับรองจาก กระทรวงสาธารณสุข มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก และตั้งอยู่ในสถานที่ปลอดภัย สะอาด และมีห้องหัตถการที่เหมาะสม
- ตรวจสอบแพทย์ผู้ฉีด : สามารถเช็กชื่อ-นามสกุลของแพทย์กับเว็บไซต์แพทยสภา ว่าเป็นแพทย์จริง และผ่านการเทรนนิ่งการฉีด Sculptra
- ใช้ Sculptra ของแท้ : ควรตรวจสอบผลิตภัณฑ์ก่อนฉีด แพทย์ควรแกะกล่องและผสมยาให้ดูต่อหน้า
- มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง : ควรตรวจสอบจากแหล่งที่เป็นกลางและน่าเชื่อถือ
- มีการดูแลหลังฉีดและติดตามผล : คลินิกควรให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง และมีช่องทางติดต่อสะดวก เช่น เบอร์โทร, Line@, Messenger หากต้องการสอบถามแพทย์เพิ่มเติม
สรุปข้อดีของฉีด Sculptra กระตุ้นคอลลาเจน
Sculptra เป็นสาร PLLA ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูและยกกระชับผิวให้ดูอ่อนเยาว์ โดยเข้าไปปรับโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวแน่น กระชับ และเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานถึง 2 ปี ได้รับการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทย จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัย แต่ควรฉีดกับแพทย์ประสบการณ์สูง ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน และใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ