แพ้ฟิลเลอร์
แพ้ฟิลเลอร์ เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่มีโอกาสน้อยมาก โดยอาจพบเป็นผื่นแดง ก้อนนูนแดงอักเสบไปจนถึงอาการรุนแรง เช่น การติดเชื้อหรือหลอดเลือดอุดตัน ในบทความนี้ Goodlybeauty จะพาไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการฉีดฟิลเลอร์
อาการแพ้ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร ?

อาการแพ้ฟิลเลอร์ คือ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายต่อต้านสารในฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป แม้ว่าสารไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของฟิลเลอร์ จะสร้างขึ้นเลียนแบบสารธรรมชาติในร่างกายและมีความปลอดภัยสูง แต่อาการแพ้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในบางกรณี
โดยอาการแพ้อาจเกิดขึ้นทันทีภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังฉีด (Immediate Hypersensitivity) หรือในระยะยาวหลังฉีดหลายเดือนถึงปี (Delayed Hypersensitivity) โดยเฉพาะฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รับการรับรอง แม้ว่าการแพ้ฟิลเลอร์ชนิด HA จะพบได้น้อยกว่า 0.01% ของผู้ฉีดทั้งหมด แต่หากพบอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัย
สาเหตุที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์
อาการแพ้หรืออักเสบหลังฉีดฟิลเลอร์มักเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่
- ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น ฉีดในคลินิกที่ไม่สะอาดหรือฉีดกับหมอกระเป๋า
- การใช้ฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่ผ่านการรับรอง ที่มักมีราคาถูกและพบในคลินิกเถื่อนหรือหมอกระเป๋า อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ติดเชื้อ ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน แข็ง เนื้อเยื่อตาย หรือแพ้รุนแรงจนต้องผ่าตัด
- การดูแลตัวเองไม่ถูกต้องหลังฉีด โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน เพราะอาหารบางชนิดอาจกระตุ้นการอักเสบ ทำให้เกิดอาการบวม แดง ร้อน มีตุ่มหรือก้อนหนองตรงจุดที่ฉีด
ดังนั้น การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง จึงสำคัญมากต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีหลังฉีดฟิลเลอร์
แพ้ฟิลเลอร์ มีอาการอย่างไร ?

แพ้ฟิลเลอร์อาการมีลักษณะอย่างไร เช็กได้ดังนี้
- เป็นก้อนนูนแดงอักเสบ หลังฉีดฟิลเลอร์ผ่านไปหลายเดือนหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และภูมิคุ้มกันของแต่ละคน
- เกิดผื่นแดงคันนานผิดปกติ สามารถทานยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
- เกิดลมพิษ (Angioedema) มีอาการบวม ผื่นคัน แสบร้อนใต้ผิวหนัง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากมีปัญหาการหายใจ มักเกิดภายใน 15 นาทีหลังฉีด จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ทันที
มีอาการแพ้ Filler อันตรายไหม ?
อาการแพ้ Filler พบได้ไม่บ่อย และส่วนใหญ่ไม่รุนแรง สามารถรักษาได้อย่างปลอดภัย อาการที่อาจพบได้ เช่น บวมแดง หรือคันเล็กน้อย ซึ่งมักจะหายไปเองภายในระยะเวลาไม่นาน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ร่างกายมีปฏิกิริยารุนแรง เช่น อาการลมพิษ (Angioedema) ที่ทำให้เกิดอาการบวมบริเวณใบหน้า ผื่นคัน หรือแน่นหน้าอก ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที
ใครบ้างเสี่ยงแพ้ฟิลเลอร์ และห้ามฉีดสารเติมเต็ม HA ?

การฉีดฟิลเลอร์เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด เพื่อป้องกันอาการแพ้หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์ หรือแพ้สารไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA)
- หญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
- ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่ายหรือหยุดยาก โดยเฉพาะคนที่รับประทานยาและผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน (ASA), ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด (Warfarin), ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs, สารสกัดจากใบแปะก๊วย (Gingko Biloba) และวิตามินอี (Vitamin E)
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคเริม หรือโรคงูสวัด ซึ่งอาจทำให้อาการกำเริบรุนแรงขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์
ฉีดฟิลเลอร์ตำแหน่งใด มีโอกาสเกิดอาการแพ้ ?

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่สามารถทำได้ในหลายตำแหน่งบนใบหน้าเพื่อเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้าได้แก่
- ฟิลเลอร์ใต้ตา
- ฟิลเลอร์หน้าผาก
- ฟิลเลอร์จมูก
- ฟิลเลอร์ปาก
- ฟิลเลอร์คาง
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
- ฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก
- ฟิลเลอร์แก้มส้ม
- ฟิลเลอร์ขมับ
แม้ว่าจะเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง แต่ทุกตำแหน่งก็มีโอกาสเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ได้ หากใช้ฟิลเลอร์ของปลอม ฉีดโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ เลือกใช้บริการคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน
ผลข้างเคียงที่อาจเจอได้จากการฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์อาจมีผลข้างเคียงได้ทั้งแบบที่ไม่อันตรายและแบบที่ต้องรีบพบแพทย์ ซึ่งมักเกิดจากการฉีดผิดวิธีหรือฉีดในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน การทำความเข้าใจและสังเกตอาการหลังฉีดจึงมีความสำคัญ เพื่อป้องกันการแพ้ฟิลเลอร์และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ผลข้างเคียงที่ไม่เป็นอันตราย
หลังการฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการผิดปกติเล็กน้อยที่ไม่อันตราย เช่น ผิวบริเวณที่ฉีดอาจบวม แดง เขียวช้ำ หรือมีอาการคัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบได้ ไม่ใช่อาการแพ้ฟิลเลอร์ที่รุนแรง ในช่วงนี้ควรระวังไม่แตะ แกะ เกา หรือนวดบริเวณที่ฉีด อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน
สำหรับการดูแลหลังฉีด สามารถแกะพลาสเตอร์ออกได้หลังฉีด 1 ชั่วโมง ถ้าต้องแต่งหน้าให้หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีรอยเข็ม ที่สำคัญคือต้องกินยาตามที่คลินิกจ่ายให้ ทั้งยาฆ่าเชื้อ (โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้กินก่อนฉีด) ยาแก้ปวด และยาลดบวม เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดโอกาสการแพ้ฟิลเลอร์
ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย ควรรีบพบแพทย์
ผลข้างเคียงที่รุนแรงและควรได้รับการักษาทันที ได้แก่
- การติดเชื้อ : หากบริเวณที่ฉีดมีอาการปวด บวมแดง ร้อน มีตุ่มหนอง หรือก้อนแข็งผิดปกติ อาจเกิดจากการฉีดผิดเทคนิค ใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด ในคลินิกไม่ได้มาตรฐาน
- ฟิลเลอร์เคลื่อนผิดตำแหน่ง : อาจเคลื่อนไปยังบริเวณข้างเคียง เช่น ใกล้กล้ามเนื้อที่ขยับบ่อย ซึ่งทำให้เกิดความผิดรูปของใบหน้า
- การอุดตันของหลอดเลือด : เกิดจากฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปโดนหลอดเลือดโดยตรง ทำให้หลอดเลือดอุดตัน ส่งผลให้เนื้อเยื่อขาดเลือดและนำไปสู่ภาวะเนื้อตาย (Necrosis)
- สูญเสียการมองเห็น : ในกรณีรุนแรง ฟิลเลอร์อาจอุดตันหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา ทำให้เกิดภาวะตาบอด ซึ่งต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
สรุปคือ ควรสังเกตอาการหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างใกล้ชิด อาการบวมแดงเล็กน้อยถือเป็นเรื่องปกติที่หายได้เอง แต่หากพบสัญญาณของการแพ้ฟิลเลอร์ เช่น มีก้อนนูน อักเสบ บวมแดง คันนานผิดปกติ ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที
ฉีดฟิลเลอร์แล้วมีอาการแพ้ ต้องทำอย่างไร ?
- ทานยา : หากอาการไม่รุนแรง เช่น บวมแดงเล็กน้อย แพทย์อาจแนะนำให้ทานยาฆ่าเชื้อหรือยาลดการอักเสบ เพื่อบรรเทาอาการ โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
- ฉีดสลายฟิลเลอร์ : แพทย์จะใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ฉีดเพื่อย่อยสลายฟิลเลอร์เดิมออก เพื่อรักษาอาการแพ้ฟิลเลอร์ (ใช้ได้เฉพาะกับฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิกแอซิดเท่านั้น)

- ขูดฟิลเลอร์ : หากฉีดฟิลเลอร์ประเภทซิลิโคนหรือพาราฟิน ซึ่งไม่สามารถสลายได้เอง แพทย์อาจต้องใช้วิธีขูดฟิลเลอร์ออก
- ผ่าตัดเอาฟิลเลอร์ออก : ใช้ในกรณีที่ฟิลเลอร์ประเภทซิลิโคนเหลวเกิดอักเสบรุนแรง เป็นก้อนแข็ง หรือมีขนาดใหญ่ โดยการผ่าตัดจะช่วยนำฟิลเลอร์ออกบางส่วน ซึ่งควรทำโดยแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัย
วิธีเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ เพื่อเลี่ยงอาการแพ้ และติดเชื้อ

เพื่อป้องกันอาการแพ้ฟิลเลอร์ รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ โดยพิจารณาจาก
- ตรวจสอบใบอนุญาตของคลินิก : ควรเลือกคลินิกที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
- เลือกแพทย์มากประสบการณ์ : แพทย์ควรมีประสบการณ์และความรู้ด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ
- ใช้ฟิลเลอร์แท้มีคุณภาพ : ตรวจสอบว่าฟิลเลอร์ที่ใช้ได้รับการรับรองจาก อย.
- ความสะอาดและอุปกรณ์ปลอดเชื้อ : คลินิกต้องรักษามาตรฐานความสะอาดและใช้อุปกรณ์ที่ปลอดเชื้อ
- มีรีวิวและผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ : อ่านรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัย
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ การดูแลตัวเองมีความสำคัญมาก เพราะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์และทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นาน โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ควรหลีกเลี่ยงสิ่งต่อไปนี้
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ หรือไวน์ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น
- ไม่กินอาหารดิบหรือไม่สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงจากพยาธิหรือแบคทีเรียที่อาจกระตุ้นการอักเสบ
- งดอาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง เพราะอาจกระตุ้นการอักเสบและขยายหลอดเลือด
- หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดจัดหรือร้อนจัด เช่น หมูกะทะ ชาบู หรืออาหารที่ทำให้หน้าแดงและหลอดเลือดขยายตัว

- หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัดและนมวัว เพราะมีส่วนกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย
- งดสูบบุหรี่ เนื่องจากสารในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดขยาย ส่งผลให้ยุบบวมช้าลง
สรุปเรื่องอาการแพ้ฟิลเลอร์
อาการแพ้ฟิลเลอร์ พบได้น้อยมาก ถ้าเกิดขึ้นก็มักมีแค่อาการบวม แดง คันเล็กน้อย นอกจากนี้หากฉีดฟิลเลอร์แท้กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์จะมีการซักถามประวัติก่อนเสมอ เพื่อประเมินว่าสามารถฉีดฟิลเลอร์ได้หรือไม่ หรือถ้าหากเกิดปัญหา มีอาการแพ้ก็สามารถแก้ไขได้ทันที ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ