ฟิลเลอร์จมูก
ฉีดฟิลเลอร์จมูก ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเสริมจมูกให้ได้ทรงสวย โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผล และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน แต่หลายคนก็ยังมีความกังวล และอยากรู้ว่า การฉีดฟิลเลอร์จมูก เป็นวิธีการที่ควรทำหรือไม่ ? อันตรายไหม ?
ในบทความนี้ Goodlybeauty จะมาตอบข้อสงสัยว่าฟิลเลอร์จมูก คืออะไร ? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร เหมาะ-ไม่เหมาะกับใคร อันตรายไหม ระหว่างฉีดฟิลเลอร์จมูก กับ ผ่าตัดเสริมจมูกซิลิโคน ต่างกันอย่างไร ? เลือกทำวิธีไหนดี ? และมีวิธีการอื่น ๆ ที่ปรับจมูกให้สวยขึ้นได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด หรือไม่ ? เพื่อช่วยในการตัดสินใจค่ะ
ฟิลเลอร์จมูก คืออะไร ?
ฟิลเลอร์จมูก คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิคแอซิด Hyaluronic Acid ที่อยู่ในรูปแบบของเจลหรือสารที่มีความหนืดสูงเข้าสู่ใต้ผิวหนังบริเวณจมูก เพื่อช่วยปรับโครงสร้างจมูกให้สวยงาม ดูโด่งขึ้น ปลายจมูกเรียวขึ้น หรือปกปิดฮัมพ์ (Hump) บนสันจมูก

ข้อดีและข้อเสีย ฟิลเลอร์จมูก
ข้อดีเมื่อฉีดฟิลเลอร์จมูก
- เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดเสริมจมูก ใช้เวลาไม่นาน สามารถทำเสร็จภายใน 30 นาที
- มองเห็นผลลัพธ์ที่ได้ทันทีหลังฉีด
- ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้นนาน
- ปลอดภัย เสี่ยงแพ้น้อย
- สารที่ฉีดสลายไปได้เองตามธรรมชาติ
ข้อเสียเมื่อฉีดฟิลเลอร์จมูก
- ผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับฟิลเลอร์ที่ใช้และการดูแลตัวเอง
- อาจเกิดอาการบวม หรือช้ำบริเวณที่ฉีดได้หลังทำ
- หากฉีดฟิลเลอร์ปลอมหรือใช้เทคนิคการฉีดที่ไม่ดี อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น จมูกเบี้ยว จมูกผิดรูป
- ต้องเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง รู้เทคนิคการทำเป็นอย่างดี เพื่อปั้นทรงจมูกให้ได้ตามต้องการ
การฉีดฟิลเลอร์จมูก เหมาะกับใคร ?

ฟิลเลอร์จมูกเหมาะกับผู้ที่มีฐานจมูกเดิมอยู่แล้ว แต่ต้องการปรับรูปทรงจมูกเล็กน้อย เช่น ต้องการเพิ่มความโด่งของสันจมูก ปลายจมูกเชิดขึ้น หรือปรับทรงจมูกให้เข้ากับรูปหน้าได้อย่างที่ต้องการ โดยผู้ที่เหมาะสมกับการฉีดฟิลเลอร์จมูก ได้แก่
- ผู้ที่ไม่มั่นใจในรูปทรงจมูกของตนเอง
- ผู้ที่จมูกโด่งแต่ไม่มีดั้ง ไม่มีสันจมูก ปลายจมูกไม่ได้รูป
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขให้จมูกได้รูปสวยมากขึ้น
- ผู้ที่จมูกผิดรูปจากการผ่าตัด พันธุกรรม หรืออุบัติเหตุ
- ผู้ที่ต้องการปรับทรงจมูกเพื่อแก้ไขโหงวเฮ้ง
ทั้งนี้ แนะนำว่าควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์และวางแผนร่วมกัน เพื่อประเมินว่าตัวเองเหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์จมูกหรือไม่ค่ะ
ฟิลเลอร์จมูก ไม่เหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่ต้องการเสริมจมูกให้โด่งมาก ๆ
- ผู้ที่วางแผนผ่าตัดเสริมซิลิโคนจมูกในอนาคต
- ผู้ที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติแพ้สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบริเวณจมูก เช่น จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกจมูก เช่น กระดูกจมูกหัก กระดูกจมูกเบี้ยว
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังบริเวณจมูก เช่น ผิวหนังอักเสบ ผิวหนังติดเชื้อ
ฉีดฟิลเลอร์จมูก อันตรายไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์จมูก เป็นหัตถการที่ปลอดภัย แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ผ่านการฉีดฟิลเลอร์จมูกมานับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงในการเกิดอันตรายได้เช่นกัน เพราะเป็นจุดที่มีเส้นเลือดสำคัญอยู่ ดังนั้นจึงควรเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์จมูกอย่างรอบคอบ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอันตราย
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในการฉีดฟิลเลอร์จมูก
- อาการแพ้ ฟิลเลอร์บางชนิดอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น อาการคัน บวมแดง หรือผื่นแดง หากมีอาการแพ้ฟิลเลอร์ ควรรีบพบแพทย์ทันที
- ก้อนบวม ฟิลเลอร์อาจเป็นก้อนบวมได้ หากทำกับแพทย์ไม่ชำนาญฉีดผิดชั้นผิว และใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไป ซึ่งอาจต้องได้รับการแก้ไขด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์โดยแพทย์
- จมูกเบี้ยว การฉีดฟิลเลอร์ด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้องกับแพทย์ไม่ชำนาญอาจทำให้จมูกเบี้ยวได้ ดังนั้นควรให้ความสำคํญกับการเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ก่อนฉีดฟิลเลอร์จมูก
- ตาบอด ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในเส้นเลือดแดง อาจทำให้เส้นเลือดอุดตันและนำไปสู่ภาวะตาบอดได้ ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรง แต่ก็เกิดขึ้นได้น้อยถ้าฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์

ฟิลเลอร์จมูก เป็นจุดฉีดฟิลเลอร์ที่มีความเสี่ยงกว่าบริเวณอื่น ๆ เพราะจมูกมีเส้นเลือดแดงสำคัญบนใบหน้าหลายเส้น จึงอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายหากทำกับหมอไม่เก่ง ขาดความชำนาญ
วิธีลดความเสี่ยงในการฉีดฟิลเลอร์จมูก
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
คลินิกฉีดฟิลเลอร์จมูกที่ได้มาตรฐาน ควรมีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจากกระทรวงสาธารณสุข และผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) นอกจากนี้ คลินิกควรมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่สะอาดและปลอดภัย รวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี
- เลือกแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี จะสามารถประเมินสภาพจมูกและเลือกเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้จมูกที่สวยและปลอดภัย นอกจากนี้ แพทย์ควรสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
- เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้
ฟิลเลอร์แท้เป็นสารที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติหรือสังเคราะห์ ซึ่งผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เท่านั้น ฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์หิ้วอาจทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น อาการแพ้ ก้อนบวม หรือจมูกเบี้ยว
- ศึกษาข้อมูลก่อนฉีด
ก่อนฉีดฟิลเลอร์จมูก ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิก แพทย์ และฟิลเลอร์ที่จะใช้ให้ละเอียด รวมถึงสอบถามเกี่ยวกับความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หลังฉีดฟิลเลอร์จมูก ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ หลีกเลี่ยงการทาครีมหรือเครื่องสำอางบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่
ฉีดฟิลเลอร์จมูก ราคาเท่าไหร่ ? ใช้กี่ CC ?
ราคาฉีดฟิลเลอร์จมูก โดยทั่วไปจะอยู่ที่ cc ละ 14,000 – 16,000 บาท ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ เทคนิคพิเศษที่ใช้ และค่าบริการทางการแพทย์ของสถานพยาบาลแต่ละแห่ง
โดยฟิลเลอร์จมูกไม่ควรฉีดเกิน 1 cc หากหมอประเมินว่าควรใช้มากเกินกว่า 1cc แสดงว่าฐานจมูกเดิมน้อย ซึ่งอาจเหมาะกับการผ่าตัดเสริมจมูกมากกว่า
คลิกอ่านเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? รวม 5 ยี่ห้อฟิลเลอร์ตัวดัง คลินิกชั้นนำนิยมใช้!
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์จมูก
- ปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อประเมินปัญหาและความต้องการ
- แจ้งโรคประจำตัวและยาที่ทานประจำกับแพทย์ เพื่อให้แพทย์พิจารณาความเสี่ยงและข้อควรระวัง
- งดยาแอสไพริน, NSAIDs วิตามิน St. Johns Wort, Ginko Biloba และยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากยาเหล่านี้อาจทำให้เลือดออกง่าย
- งดดื่มแอลกอฮอล์ และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากอาจทำให้เลือดออกง่าย
- แต่งหน้าอ่อน ๆ หรืองดแต่งหน้าเลย เพื่อให้แพทย์ประเมินบริเวณที่ต้องการฉีดได้ชัดเจน
- สวมเสื้อผ้าที่สบาย เพื่อสะดวกในการทำหัตถการ
การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์จมูก
- งดแต่งหน้าบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- งดออกกำลังกายหนัก ๆ เป็นเวลา 1 สัปดาห์
- สังเกตอาการผิดปกติบริเวณที่ฉีด เช่น บวมช้ำ แดง ปวด แสบ หากมีอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้ฟิลเลอร์คงอยู่ได้นานขึ้น
- ทานยาแก้ปวดตามอาการ หากมีอาการปวดบริเวณที่ฉีด
- งดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่อาจทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์จมูกจะคงอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการดูแลตนเองหลังฉีด
ฉีดฟิลเลอร์จมูก กับ ผ่าตัดเสริมจมูกซิลิโคน ต่างกันอย่างไร ?
ฉีดฟิลเลอร์จมูก : เป็นการใช้สารเติมเต็ม (filler) ฉีดเข้าไปในจมูก เพื่อเพิ่มเนื้อเยื่อบริเวณจมูกให้ดูโด่งขึ้น สันจมูกคมชัดขึ้น
ผ่าตัดเสริมจมูกซิลิโคน : เป็นการผ่าตัดเพื่อใส่วัสดุทางการแพทย์ (ซิลิโคน) เข้าไปในจมูก เพื่อปรับรูปทรงจมูก
ฉีดฟิลเลอร์จมูก กับ ผ่าตัดเสริมจมูกซิลิโคน เลือกวิธีไหนดี ?
การเลือกระหว่างฉีดฟิลเลอร์จมูก กับ ผ่าตัดเสริมจมูกซิลิโคน เพื่อเสริมจมูกให้ดูดี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
- ความต้องการของผู้ทำ
หากต้องการจมูกที่โด่งขึ้นเล็กน้อย โดยไม่ต้องการพักฟื้นนาน ฉีดฟิลเลอร์จมูกอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เนื่องจากสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ และไม่ต้องพักฟื้นนาน ประมาณ 2-3 วันก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
แต่หากต้องการจมูกที่โด่งขึ้นมาก หรือต้องการปรับโครงสร้างจมูก ผ่าตัดเสริมจมูกซิลิโคนอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เนื่องจากสามารถปรับแต่งทรงจมูกได้หลากหลาย และมีความคงทนถาวรกว่า
- สภาพจมูกเดิม
หากมีฐานจมูกเดิมอยู่บ้าง ฉีดฟิลเลอร์จมูกอาจเพียงพอต่อการทำให้จมูกโด่งขึ้น แต่หากไม่มีฐานจมูกเดิม หรือต้องการให้จมูกโด่งขึ้นมาก ผ่าตัดเสริมจมูกซิลิโคนอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
- งบประมาณ
การฉีดฟิลเลอร์จมูกมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการผ่าตัดเสริมจมูกซิลิโคน ประมาณ 5,000-20,000 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ แต่การผ่าตัดเสริมจมูกซิลิโคนจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 20,000-100,000 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้และเทคนิคการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์จมูก มักเป็นหัตถการที่หมอส่วนใหญ่ไม่ค่อยแนะนำ เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายด้าน และไม่คุ้มค่าเท่ากับการผ่าตัดเสริมจมูกด้วยซิลิโคนที่คงผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า นอกจากนี้ยังเป็นจุดฉีดฟิลเลอร์ที่มีความเสี่ยงสูง หากทำกับหมอไม่เก่งฟิลเลอร์อาจเข้าเส้นเลือด ทำให้ตาบอดได้ค่ะ
วิธีการอื่น ๆ ที่ปรับจมูกให้สวยขึ้นได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน
สำหรับคนที่ต้องการปรับจมูกให้สวยขึ้น แต่กลัวการผ่าตัด ไม่ต้องเสียใจไป เพราะนอกเหนือจากการฉีดฟิลเลอร์จมูกแล้ว ยังมีวิธีที่ใช้การเสริมจมูกวิธีอื่นที่แพทย์ใช้อีก คือ การร้อยไหมจมูก และการฉีดโบท็อกรัดแกนจมูก ซึ่งเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยและให้ผลลัพธ์สวยงามได้เช่นกัน
1. การร้อยไหมจมูก
เป็นการร้อยไหมเข้าไปในเนื้อจมูกเพื่อยกกระชับผิวหนังบริเวณจมูก ทำให้จมูกดูโด่งขึ้น ปลายจมูกเชิดขึ้น หรือปรับทรงจมูกให้เข้ากับรูปหน้าได้อย่างที่ต้องการ
รีวิวร้อยไหมจมูก

ข้อดี: ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาไม่นาน ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับเส้นไหมที่ใช
ข้อเสีย: อาจเกิดผลข้างเคียงได้หากทำกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญในคลินิกไม่ได้มาตรฐาน เช่น การติดเชื้อ ไหมหลุด ไหมเบี้ยว
2. การฉีดโบท็อกรัดแกนจมูก หรือ โบท็อกปีกจมูก
เป็นการฉีดโบท็อกเข้าไปในกล้ามเนื้อบริเวณสันจมูกและปีกจมูก เพื่อคลายการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวและดึงปีกจมูกขึ้น สันจมูกจึงดูชัดขึ้น จมูกดูเล็กลง และรูจมูกดูแคบลง

ข้อดี : ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 15-30 นาที ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน
ข้อเสีย : ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจมูกที่มีขนาดใหญ่หรือเบี้ยวได้ ผลลัพธ์อาจไม่คงทนถาวร ต้องฉีดซ้ำทุก 3-4 เดือน
สรุปเรื่องการฉีดฟิลเลอร์จมูก
ฟิลเลอร์จมูก เป็นเพียงหนึ่งทางเลือกในการเสริมจมูกให้ดูดีขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่มีข้อจำกัดและความเสี่ยงค่อนข้างมากในการทำ สำหรับคนที่มีฐานจมูกเดิมอยู่บ้าง แต่ต้องการปรับจมูกให้สวยงามขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถใช้วิธีการร้อยไหมจมูก หรือ ฉีดโบท็อกรัดแกนจมูก ได้ตามความเหมาะสมจากการประเมินของแพทย์
ส่วนคนที่ต้องการเสริมจมูกให้โด่งมาก ๆ และอยู่ได้นาน การผ่าตัดเสริมซิลิโคนจมูก อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและมีความคุ้มค่ากว่า
อย่างไรก็ตาม ก่อนเลือกทำวิธีการใด ควรเข้าไปปรึกษากับแพทย์ ให้แพทย์ประเมินปัญหาและแนะนำวิธีเสริมจมูกที่ตรงกับความต้องการ สภาพจมูกเดิม และงบประมาณของตัวเอง หากต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ดี มีความคุ้มค่ามากที่สุด