ค่า PA

ค่า PA ในครีมกันแดด ถือเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกครีมกันแดดที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นตัววัดค่าในการปกป้องผิวจากแสงแดด ที่สำคัญไม่แพ้ SPF ในครีมกันแดดค่ะ

แต่สำหรับใครที่สงสัยอยูว่า ค่า PA คืออะไร ? มีกี่ระดับ ? PA+, PA++, PA+++, PA++++ ต่างกันอย่างไร สามารถตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้ค่ะ Goodlybeauty สรุปมาแล้ว

คลิกอ่านหัวข้อ ค่า PA คืออะไร ?


ค่า PA คืออะไร ?

ค่า PA คือ ค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันรังสี UVA ซึ่งเป็นรังสีที่สามารถทะลุเข้าสู่ชั้นลึกของผิวหนัง ทำให้เกิด ริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ และมะเร็งผิวหนัง

หน่วยวัดค่า PA ถูกพัฒนาขึ้นโดย Japan Cosmetic Industry Association (JCIA) หรือ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่น โดยการวัดค่า PA ได้รับความนิยมใช้กันมากในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดแทบเอเชียค่ะ

คลิกอ่านบทความแนะนำรีวิวเพิ่มเติม


ค่า PA มีกี่ระดับ ? PA+, PA++, PA+++, PA++++ หมายถึงอะไร ?

ค่า PA ถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ PA+, PA++, PA+++, และ PA++++

โดยแต่ละระดับบ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันรังสี UVA ซึ่งเป็นตัวการทำลายคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ และจุดด่างดำ ยิ่งค่า PA สูง ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันมากขึ้น

ค่า PA+

ค่า PA+ ให้การป้องกันรังสี UVA ในระดับเริ่มต้น โดยสามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 2-4 เท่า

ระดับ PA+ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ออกแดดจัดเป็นเวลานาน หรืออยู่ในที่ร่มเป็นส่วนใหญ่ เช่น คนที่ทำงานในออฟฟิศ หรือออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเวลาสั้น ๆ

ค่า PA++

ค่า PA++ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA 4-8 เท่า

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเผชิญแสงแดดเป็นระยะ ๆ เช่น คนที่เดินทางไปทำงานโดยใช้ขนส่งสาธารณะ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งในระยะเวลาปานกลาง การใช้ครีมกันแดดที่มี PA++ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้า กระ และริ้วรอยจากแสงแดดได้ดีขึ้น

ค่า PA+++

ค่า PA+++ สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ 8-16 เท่า

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องออกแดดเป็นเวลานาน เช่น นักท่องเที่ยวที่เดินกลางแจ้งทั้งวัน คนที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือผู้ที่ทำงานกลางแจ้งเป็นประจำ ค่า PA ในระดับนี้ช่วยลดโอกาสที่ผิวจะถูกทำร้ายจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพียงพอกับการใช้ในชีวิตประจำวัน

ค่า PA++++

ค่า PA++++ เป็นระดับสูงสุดที่ให้การป้องกันรังสี UVA มากกว่า 16 เท่า

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดแรงเป็นเวลานาน เช่น คนที่ทำงานกลางแดด นักกีฬาเอาท์ดอร์ หรือผู้ที่ต้องไปเที่ยวทะเลและภูเขาที่มีแสงแดดแรง การใช้ครีมกันแดดที่มี PA++++ จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ฝ้า กระ และมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ค่า PA ในครีมกันแดด
ค่า PA แสดงระดับป้องกันรังสี UVA

ค่า PA ในครีมกันแดด สำคัญอย่างไร ?

ค่า PA มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นตัวบ่งบอกว่าครีมกันแดดสามารถป้องกันรังสี UVA ได้ดีแค่ไหน ซึ่งรังสี UVA สามารถทะลุผ่านกระจกและเสื้อผ้าเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึก ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ฝ้า กระ และจุดด่างดำ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนังในระยะยาว การเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PA สูง จึงช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายเหล่านี้ได้ค่ะ


ค่า PA กับ ค่า PPD เหมือนกัน หรือต่างกัน ?

แม้ว่าค่า PA และค่า PPD จะเกี่ยวข้องกับการป้องกันรังสี UVA แต่ทั้งสองค่านี้มีความแตกต่างกัน

  • ค่า PA เป็นมาตรฐานของญี่ปุ่นที่ใช้สัญลักษณ์ “+” เพื่อบ่งบอกระดับการป้องกัน UVA
  • ค่า PPD (Persistent Pigment Darkening) เป็นมาตรฐานของยุโรปที่วัดประสิทธิภาพของครีมกันแดด โดยดูจากระยะเวลาที่ผิวหนังเกิดการเปลี่ยนสีจากรังสี UVA ยิ่งค่า PPD สูง ครีมกันแดดก็ยิ่งป้องกันรังสี UVA ได้ดี

โดยค่า PA ถูกกำหนดจากค่า PPD เช่น PA+++ เทียบเท่ากับค่า PPD 8-16


ควรใช้ครีมกันแดดค่า PA เท่าไหร่ ?

การเลือกค่า PA ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และกิจกรรมของแต่ละคน แต่ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PA 3+ ขึ้นไป คือ PA+++ และ PA++++ เพราะเพียงพอต่อการปกป้องผิว ช่วยลดโอกาสการเกิดริ้วรอย ฝ้า กระ และมะเร็งผิวหนังจากรังสี UVA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และไม่ควรใช้ค่า PA ระดับ PA+ หรือ PA++ ค่ะ เพราะมีระดับการปกป้องผิวต่ำ ไม่เพียงพอกับการป้องกันรังสี UVA

ใช้ครีมกันแดดค่า PA เท่าไหร่
ควรใช้ครีมกันแดดค่า PA 3+ ขึ้นไป

แนวทางการเลือกซื้อครีมกันแดดค่า PA & SPF ให้เหมาะสม

ทำความรู้จักกับค่า PA ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA กันไปแล้ว คราวนี้เรามาดูวิธีการเลือกซื้อครีมกันแดดกันบ้าง ซึ่งการเลือกครีมกันแดดต้องเลือก PA & SPF ให้เหมาะสม กับการใช้งานดังนี้

  • เลือกค่า SPF และ PA ตามกิจกรรม หากอยู่ในร่มเป็นส่วนใหญ่ ครีมกันแดดที่มี SPF 30 PA+++ ก็เพียงพอ แต่หากต้องออกแดดเป็นเวลานาน เช่น ไปเที่ยวทะเลหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรเลือก SPF 30 PA+++ หรือ SPF 50 PA++++ เพื่อการปกป้องที่ดียิ่งขึ้น โดยค่า SPF ป้องกัน UVB ที่ทำให้ผิวไหม้ ส่วนค่า PA ป้องกัน UVA ที่ทำให้เกิดริ้วรอย
  • เลือกเนื้อสัมผัสให้เหมาะกับสภาพผิว ผิวมันควรเลือกครีมกันแดดสูตร Oil-free, Gel, หรือ Water-based เพื่อไม่ให้หนักหน้าและลดการอุดตัน ส่วนผิวแห้งควรเลือกสูตรที่มี มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น สำหรับผิวแพ้ง่าย ควรใช้สูตรที่ปราศจากแอลกอฮอล์ น้ำหอม และพาราเบน เพื่อลดการระคายเคือง
  • ใช้ปริมาณให้เพียงพอ การทาครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยให้เกิดการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ ควรใช้ครีมกันแดด 2 นิ้วมือ สำหรับใบหน้า และ ประมาณ 1 แก้วช็อต สำหรับร่างกาย หากใช้ปริมาณน้อยเกินไป อาจทำให้การป้องกันรังสี UV ลดลง
  • ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อการปกป้องที่ต่อเนื่อง ไม่ว่าครีมกันแดดจะมีค่า SPF และ PA สูงแค่ไหน หากไม่ได้ทาซ้ำก็อาจปกป้องผิวได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะหากเหงื่อออกมาก หรืออยู่กลางแจ้งนาน ๆ ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง และหากอยู่ในที่ร่มเป็นส่วนใหญ่ อาจทาซ้ำวันละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอ

สรุปเรื่องค่า PA ในผลิตภัณฑ์กันแดด

ค่า PA ถือเป็นค่าสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวจาก UVA การเลือกครีมกันแดดให้มีประสิทธิภาพ ที่สามารถปกป้องผิวได้ทั้งจาก UVA และ UVB จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ แต่การเลือกกันแดดที่มีค่า PA สูงเกินไปก็อาจจะทำให้ผิวเกิกการระคายเคืองได้ ดังนั้นจึงควรเลือกค่า PA ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อให้ได้ครีมกันแดดที่ปกป้องผิว และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว

Categorized in:

knowledge,

Last Update: 02/26/2025